วันศุกร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2557

ทีมนี้พี่รัก(1)

สโมสรฟุตบอลมิลาน (อิตาลีAssociazione Calcio Milan) หรือ เอซี มิลาน (A.C. Milan) เรียกสั้น ๆ ว่า มิลาน(ภาษาอิตาลีออกเสียงว่า มีลาน) หรือที่ฉายาในสื่อไทยเรียกว่า ปีศาจแดง-ดำ เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในเมืองมิลาน แคว้นลอมบาร์ดี้ ประเทศอิตาลี ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1899 (พ.ศ. 2442) และเป็นหนึ่งในทีมฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในวงการฟุตบอลของยุโรปและของโลก โดยได้แชมป์ระดับเมเจอร์รวมทั้งหมดถึง 46 รายการ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในทีมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในอิตาลี เช่นเดียวกับ ยูเวนตุส และอินเตอร์ นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกของกลุ่ม จี-14 ซึ่งเป็นกลุ่มของสโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่ของทวีปยุโรปอีกด้วย
เอซี มิลาน ใช้สนามซานซีโร หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สตาดีโอ จูเซ็ปเป เมอัซซา เป็นสนามที่ใช้ในการเล่นในฐานะเจ้าบ้าน ร่วมกับทีมคู่ปรับร่วมเมืองอย่างอินเตอร์

ประวัติ

AC Milan ย่อมาจาก Associazione Calcio Milan ได้ก่อตั้งสโมสรขึ้นเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1899 โดยชาวอังกฤษสามคน ได้พูดคุยกันที่ห้องหนึ่งในโรงแรม โฮเตล ดู นอร์ และเกิดความคิดที่จะสร้างสโมสรคริกเกตและฟุตบอลชื่อ “Milan Football and Cricket Club” ซึ่งตอนเริ่มก่อตั้งใหม่ๆ คลับแห่งนี้เน้นไปที่คริกเกตมากกว่า แต่เมื่อข่าวค่อยๆแพร่กระจายออกไป ก็มีผู้คนให้การสนับสนุนฟุตบอลมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีอัลเฟรด เอ็ดเวิร์ดส์ ทำหน้าที่ประธานสโมสรเป็นคนแรก โดยหลังจากที่ไปขึ้นทะเบียนกับสหภาพฟุตบอลอิตาเลียนแล้ว ทีมก็ได้เข้าร่วมชิงชัยในฟุตบอล รวมทั้งเริ่มสร้างสนามเพื่อใช้ในการเป็นเจ้าบ้าน โดยทำการสร้างสนามที่บริเวณทรอตเตอร์ ซึ่งในปัจจุบันก็คือ สถานีรถไฟกลางนั่นเอง
นัดเปิดสนามนัดแรกของสโมสรคือ การที่มิลานแข่งกับทีมเมดิโอลานุม ในวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 1900 และมิลานเอาชนะไปได้ 3-0 ซึ่งผู้เล่น 11 คนแรกของสโมสรประกอบไปด้วย ฮู้ด ชิญญากี ตอร์เรตต้า ลีส์ คิลปิน วาเลริโอ ดูบินี เดวีส์ เนวิลล์ อัลลิสัน ฟอร์เมนติ โดยในขณะนั้น เฮอร์เบิร์ต คิลปิน เป็นทั้งหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งสโมสรและเป็นกัปตันทีมฟุตบอล อีกทั้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดของทีมในขณะนั้น แต่ทว่าการแข่งขันอย่างเป็นทางการจริงๆ มิลานกลับแพ้โตริโน 0-3 เมื่อวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1900
ในปี ค.ศ. 1919 สโมสรได้เปลี่ยนชื่อเป็น “Milan Football Club” จากนั้นในปี ค.ศ. 1936 ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “Milan Associazione Sportiva” ต่อมาในปี ค.ศ. 1938 เปลี่ยนมาเป็น “Associazione Calcio Milano” สุดท้ายเปลี่ยนมาเป็น “Associazione Calcio Milan” ในปี ค.ศ. 1945 และใช้ชื่อนี้มาจนถึงปัจจุบัน
เอซี มิลาน ใช้สีแดง-ดำ เป็นสีประจำทีม มีฉายาในภาษาอิตาเลียนว่า “รอสโซเนรี” หรือ “อิล ดิอาโวโล” ส่วนในภาษาไทยเรียกว่า “ปีศาจแดง-ดำ” และเรียกเหล่ากองเชียร์ของสโมสรว่า “มิลานิสตา”
เอซี มิลาน ใช้สนาม ซานซีโร หรือ สตาดีโอ จูเซ็ปเป เมอัซซา ซึ่งเป็นสนามประจำเมืองมิลาน มีความจุโดยประมาณ 80,074 คน (ปัจจุบัน) เป็นสนามประจำทีม โดยสนามซานซีโร สร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 1926 ซึ่งผู้ที่ริเริ่มความคิดคือ ปิเอโร ปิเรลลี ประธานสโมสรของมิลานในขณะนั้น โดยเขาคิดที่จะมอบมันเป็นของขวัญให้กับสโมสร สนามซานซีโร ใช้เวลาในการสร้างทั้งหมด 1 ปี โดยสามารถจุผู้ชมได้ 10,000 ที่นั่ง ต่อมาในปี ค.ศ. 1939 ได้มีการปรับปรุงสนาม[[ซานซีโร] เพื่อให้สามารถรองรับแฟนบอลที่มาเข้าชมการแข่งขันได้มากขึ้น โดยครั้งนี้ได้เพิ่มจำนวนที่นั่งขึ้นไปเป็น 55,000 ที่นั่ง
ในปี ค.ศ. 1986 ได้มีการปรับปรุงสนามซานซีโร อีกครั้งหนึ่ง เพื่อใช้เป็นสนามในการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 1990 โดยครั้งนี้ได้มีการสร้างหลังคาที่ทำด้วยไฟเบอร์กลาส และสร้างหอคอยทางขึ้นอีก 11 ด้านเสียใหม่ รวมทั้งเพิ่มความจุของที่นั่ง จากเดิม 5 หมื่นกว่าที่นั่ง ไปเป็น 85,700 ที่นั่ง ซึ่งมีการคาดกันว่า ถ้านับกันจริงๆแล้ว สนามซานซีโร น่าจะสามารถรองรับผู้ชมได้ถึง 150,000 คน แต่เนื่องจากติดปัญหาในด้านความปลอดภัย สภาเมืองมิลานจึงได้ออกกฎห้ามมิให้มีผู้ชมเกินกว่า 100,000 คน

เกียรติประวัติการแข่งขัน[แก้]

- ยุคเริ่มก่อตั้งถึงยุคทศวรรษที่ 40 ยุคนี้ถือเป็นยุคมืดของมิลาน โดยตลอดระยะเวลาครึ่งศตวรรษ มิลานได้แชมป์อิตาเลียน ฟุตบอล แชมเปียนส์ชิพ หรือกัลโช เซเรีย อา เพียงแค่ 3 สมัยเท่านั้น ในปี 1901, 1906 และ 1907 รองแชมป์ 2 ครั้ง ในปี 1902 และ 1948, รองแชมป์โคปปา อิตาเลีย 1 ครั้ง ในปี 1942 โดยแพ้ให้กับยูเวนตุส นอกจากนั้นแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน ปล่อยให้เจนัวโปร แวร์เชลลียูเวนตุสอินเตอร์โตรีโน และโบโลญญา ผลัดกันขึ้นครองแชมป์อย่างสนุกมือ โดยนักเตะที่สำคัญในช่วงนี้ ได้แก่เฮอร์เบิร์ต คิลปินหลุยส์ ฟาน แฮชอัลโด้ เคเวนินีจูเซ็ปเป ซานตากอสติโนอัลโด โบฟฟีคาร์โล อันโนวาซซีเรนโซ บูรินี และโอเมโร โตญญอน เป็นต้น
- ยุคทศวรรษที่ 50 ยุคนี้ มิลานได้แชมป์กัลโช เซเรีย อา ถึง 4 สมัย ในปี 1951, 1955, 1957 และ 1959 รองแชมป์อีก 3 ครั้ง ในปี 1950, 1952 และ 1956 ส่วนในระดับทวีปนั้น มิลานได้เข้าชิงยูโรเปียน คัพ ในปี 1958 แต่แพ้ต่อเรอัล มาดริด ยอดทีมในยุคนั้นไป 2-3 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ โดยนักเตะที่สำคัญในยุคนี้ ได้แก่ สามทหารเสือสวีดิช เกร-โน-ลีอย่างกุนนาร์ เกร็นกุนนาร์ นอร์ดาห์ล และนิลส์ ลีดโฮล์ม นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายคน เช่น เชซาเร มัลดินีฮวน เชียฟฟิโนฟรานเชสโก ซากัตติอาร์ตูโร ซิลเวสตรี และลอเรนโซ บุฟฟอน เป็นต้น
- ยุคทศวรรษที่ 60 ยุคนี้ถือเป็นยุครุ่งเรืองยุคหนึ่งของมิลาน โดยมิลานได้แชมป์กัลโช เซเรีย อา 2 สมัย ในปี 1962 และ 1968 รองแชมป์อีก 3 ครั้ง ในปี 1961, 1965 และ 1969, แชมป์โคปปา อิตาเลีย 1 สมัย ในปี 1967 ที่เอาชนะปาโดวา รองแชมป์อีก 1 ครั้ง ในปี 1968 ที่แพ้ต่อโตรีโน, แชมป์ยูโรเปียน คัพ 2 สมัย ในปี 1963 ที่เอาชนะเบนฟิกา ของ"เสือดำแห่งโมซัมบิก" ยูเซบิโอ ไป 2-1 และปี 1969 ที่ถล่มอาแจ็กซ์ ของ"นักเตะเทวดา" โยฮัน ครัฟฟ์ ไปถึง 4-1, แชมป์ยูโรเปียน คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย ในปี 1968 ที่เอาชนะฮัมบูร์ก และได้แชมป์สโมสรโลก 1 สมัย โดยเอาชนะเอสตูเดียนเตส ในปี 1969 รองแชมป์อีก 1 ครั้ง ในปี 1963 ที่พ่ายต่อซานโตส ของ"ไข่มุกดำ" เปเล โดยนักเตะที่สำคัญในยุคนี้ ได้แก่ จานนี ริเวราโฮเซ อัลตาฟินีปิเอริโน ปราติอันเจโล ซอร์มานีจานคาร์โล ดาโนวาคาร์ล-ไฮนซ์ ชเนลลิงเกอร์มาริโอ เตรบบีบรูโน โมราโจวานนี โลเดตติมาริโอ ดาวิดโจวานนี ตราปัตโตนีอันเจโล อันกวิลเลตติโรแบร์โต โรซาโตลุยจิ ราดิเซดิโน ซานีจอร์โจ เกซซี และฟาบิโอ คูดิชินี เป็นต้น โดยยอดผู้จัดการทีมของมิลานในยุคนี้คือ เนเรโอ ร็อคโค
- ยุคทศวรรษที่ 70 ยุคนี้ถือเป็นยุคประคองตัว ความสำเร็จภายในประเทศตกไปเป็นของยูเวนตุสอีกครั้ง ส่วนในระดับยุโรป ก็ไม่สามารถที่จะขึ้นไปทาบรัศมีของอาแจ็กซ์บาเยิร์นและลิเวอร์พูลได้เลย โดยมิลานได้แชมป์กัลโช เซเรีย อา เพียงแค่ 1 สมัย ในปี 1979 รองแชมป์ 3 ครั้งติดต่อกัน ในปี 1971, 1972 และ 1973, แชมป์โคปปา อิตาเลีย 3 สมัย ในปี 1972, 1973 และ 1977 ที่ชนะนาโปลียูเวนตุส และอินเตอร์ ตามลำดับ รองแชมป์อีก 2 ครั้ง ในปี 1971 ที่แพ้ต่อโตรีโน และในปี 1975 ที่แพ้ต่อฟิออเรนตินา, แชมป์ยูโรเปียน คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย ในปี 1973 ที่เอาชนะลีดส์ และรองแชมป์ 1 ครั้ง ในปี 1974 ที่แพ้ต่อมักเดบวร์ก นอกจากนี้ ยังได้รองแชมป์ยูโรเปียน ซูเปอร์ คัพ 1 ครั้ง ในปี 1973 โดยที่นัดแรกเล่นในบ้าน เอาชนะอาแจ็กซ์ได้ 1-0 แต่พอไปเยือนกลับโดนอัดกลับมาถึง 6-0 ชวดแชมป์ไปอย่างเจ็บปวด โดยนักเตะที่สำคัญในยุคนี้ ได้แก่ อัลแบร์โต บิกอนอัลโด มัลเดราจูเซ็ปเป ซาบาดินีอัลโด เบทเอกิดิโอ คัลโลนีฟูลวิโอ โคลโลวาติเอ็นริโก อัลแบร์โตซีโรเมโอ เบเนตติ และรูเบน บูริอานี เป็นต้น
- ยุคทศวรรษที่ 80 ในช่วงต้นทศวรรษถือเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของสโมสร เมื่อมิลานถูกปรับตกชั้นในปี 1980 จากข้อหาพัวพันกับคดีการล้มบอลของประธานสโมสร เฟลิเซ โคลอมโบ และผู้รักษาประตูของทีมอย่างเอ็นริโก อัลแบร์โตซี ทำให้ทีมต้องลงเล่นในศึกกัลโช เซเรีย บี เป็นครั้งแรก ซึ่งถึงแม้ว่าจะคว้าแชมป์เซเรีย บี ได้ในทันที แต่เมื่อกลับคืนสู่เซเรีย อา ได้เพียงฤดูกาลเดียวก็ต้องตกชั้นอีก อย่างไรก็ตาม มิลานก็สามารถกลับคืนสู่เซเรีย อา ในฐานะแชมป์เซเรีย บี อีกครั้ง ในปี 1983 แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน ประธานสโมสร จูเซ็ปเป ฟารินา ได้พัวพันกับคดีทางกฎหมาย จนทำให้เขาตัดสินใจหนีไปอยู่ที่แอฟริกาใต้ พร้อมกับเอาเงินของสโมสรไปด้วย มิลานในขณะนั้นจึงอยู่ในสภาพเกือบล้มละลาย แต่เมื่อมีมหาเศรษฐีที่ชื่อ ซิลวีโอ แบร์ลุสโกนี เข้ามาเทคโอเวอร์กิจการของสโมสรในปี 1986 มิลานก็เริ่มเข้าสู่ยุครุ่งเรืองอีกครั้ง โดยมิลานได้แชมป์กัลโช เซเรีย อา 1 สมัย ในปี 1988, รองแชมป์โคปปา อิตาเลีย 1 ครั้ง ในปี 1985 ที่แพ้ต่อซามพ์โดเรีย, ได้แชมป์อิตาเลียน ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย ในปี 1988 ที่ชนะซามพ์โดเรีย, แชมป์ยูโรเปียน คัพ 1 สมัย ในปี 1989 ที่ถล่มสเตอัว บูคาเรสต์4-0, แชมป์ยูโรเปียน ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย ในปี 1989 ที่เอาชนะบาร์เซโลนา และได้แชมป์สโมสรโลก 1 สมัย ในปี 1989 อีกเช่นกัน โดยเอาชนะแอตเลติโก นาซิอองนาล 1-0 ซึ่งนักเตะที่สำคัญในยุคนี้ ได้แก่ สามทหารเสือดัตช์อย่าง มาร์โก ฟาน บาสเทนรุด กุลลิต และแฟรงค์ ไรจ์การ์ด นอกจากนั้นก็ยังมี เปาโล มัลดีนีฟรังโก้ บาเรซีอเลสซานโดร คอสตาคูร์ตาเมาโร ตัสซอตติฟิลิปโป กัลลีโจวานนี กัลลีโรแบร์โต โดนาโดนีอัลเบริโก เอวานีคาร์โล อันเชลอตติดานิเอเล มัสซาโรปิเอโตร วีร์ดิส และอันเจโล โคลอมโบ เป็นต้น โดยยอดผู้จัดการทีมของมิลานในยุคนี้คือ อาร์ริโก ซาคคี ปรมาจารย์ลูกหนัง ผู้ให้กำเนิดโซนเพรส (เพรสซิง ฟุตบอล)
- ยุคทศวรรษที่ 90 ยุคนี้ถือเป็นยุคไร้เทียมทาน เป็นยุคทองของสโมสรอย่างแท้จริง โดยมิลานได้ประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ไปทั่วโลก โดยได้แชมป์กัลโช เซเรีย อา ถึง 5 สมัย ซึ่งเป็น 3 สมัยติดต่อกันด้วย ในปี 1992, 1993 และ 1994 ซึ่งช่วงเวลานี้เอง ที่มิลานทำสถิติไร้พ่ายในลีกติดต่อกันถึง 58 นัด จากนั้นก็ยังได้แชมป์อีก 2 สมัย ในปี 1996 และ 1999 รองแชมป์ 2 ครั้งติดต่อกัน ในปี 1990 และ 1991, รองแชมป์โคปปา อิตาเลีย 2 ครั้ง ในปี 1990 ที่แพ้ยูเวนตุส และปี 1998 ที่แพ้ให้กับลาซีโอ, ได้แชมป์อิตาเลียน ซูเปอร์ คัพ 3 สมัยติดต่อกัน ในปี 1992, 1993 และ 1994 ที่ชนะปาร์มาโตรีโน และซามพ์โดเรีย ตามลำดับ รองแชมป์อีก 2 ครั้ง ในปี 1996 ที่พ่ายให้กับฟิออเรนตีนา และปี 1999 ที่พ่ายต่อปาร์มา ส่วนในยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก มิลานได้แชมป์ 3 สมัย จากการเข้าชิง 5 ครั้ง ในรอบ 7 ปี โดยนอกจากปี 1989 แล้ว ในปี 1990 เอาชนะเบนฟิกาได้ 1-0 และปี 1994 ที่ถล่มบาร์เซโลนา ซึ่งถือเป็นดรีมทีมในช่วงนั้นไปเละเทะถึง 4-0 รองแชมป์อีก 2 ครั้ง ในปี 1993 ที่พ่ายต่อมาร์กเซย และปี 1995 ที่พ่ายต่ออาแจ็กซ์, แชมป์ยูโรเปียน ซูเปอร์ คัพ 2 สมัย ในปี 1990 ที่ชนะซามพ์โดเรียและปี 1994 ที่ชนะอาร์เซนอล รองแชมป์ 1 ครั้ง ในปี 1993 ที่พ่ายปาร์มา นอกจากนี้ ยังได้แชมป์สโมสรโลกอีก 1 สมัย ในปี 1990 ที่เอาชนะโอลิมเปีย 3-0 รองแชมป์อีก 2 ครั้ง ในปี 1993 ที่แพ้ต่อเซา เปาโล และปี 1994 ที่แพ้ต่อเบเลซ ซาร์สฟิลด์ โดยนักเตะที่สำคัญในยุคนี้ นอกเหนือจากผู้เล่นที่เหลืออยู่จากช่วงปลายทศวรรษที่ 80 แล้ว ก็ยังมีเพิ่มอีกหลายคน ได้แก่ เซบาสเตียโน รอสซีเดยัน ซาวิเซวิชเดเมตริโอ อัลแบร์ตินีมาร์กแซล เดอไซญีมาร์โก ซิโมเนซโวนีเมียร์ โบบันฌอง-ปิแอร์ ปาแปงจอร์จ เวอาห์คริสเตียน ปานุชชีสเตฟาโน เอรานิโอโรแบร์โต บาจโจเลโอนาร์โด และโอลิเวอร์ เบียร์โฮฟฟ์ เป็นต้น โดยยอดผู้จัดการทีมของมิลานในยุคนี้ คือ ฟาบิโอ คาเปลโล
- ยุคมิลเลนเนี่ยมถึงปัจจุบัน ยุคนี้ถือเป็นยุคฟื้นฟูความสำเร็จ หลังจากตกต่ำไประยะหนึ่ง โดยในฤดูกาล 1999-2000 มิลานได้อันดับที่ 3 ในกัลโช เซเรีย อา ในโคปปา อิตาเลียตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยพ่ายให้กับอินเตอร์ ส่วนในยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ตกรอบแบ่งกลุ่มรอบแรก, ฤดูกาล 2000-2001 ได้อันดับที่ 6 ในกัลโช เซเรีย อา ในโคปปา อิตาเลีย ตกรอบรองชนะเลิศ โดยแพ้ฟิออเรนตีนา ส่วนในยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ตกรอบแบ่งกลุ่มรอบที่สอง, ฤดูกาล 2001-2002 มิลานได้แต่งตั้งคาร์โล อันเชลอตติ ขึ้นเป็นผู้จัดการทีม โดยฤดูกาลนี้ มิลานได้อันดับที่ 4 ในกัลโช เซเรีย อา ในโคปปา อิตาเลีย แพ้ยูเวนตุส ตกรอบรองชนะเลิศ ส่วนในยูฟ่า คัพ ก็ตกรอบรองชนะเลิศเช่นกัน โดยพ่ายให้กับดอร์ทมุนด์, ฤดูกาล 2002-2003ได้อันดับที่ 3 ในกัลโช เซเรีย อา แต่ได้ดับเบิลแชมป์ คือ แชมป์โคปปา อิตาเลีย สมัยที่ 5 โดยเอาชนะโรมาได้ ส่วนในยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก เริ่มแข่งขันตั้งแต่รอบคัดเลือก รอบที่สาม และผ่านสโลวาน ริเบอเรช ไปได้อย่างหวุดหวิด ด้วยกฎการยิงประตูในฐานะทีมเยือน จากนั้นก็ผ่านได้ทั้งบาเยิร์นล็องส์กอรุนญาเรอัล มาดริดดอร์ทมุนด์โลโกโมทีฟ มอสโกอาแจ็กซ์ และอินเตอร์ ก่อนที่จะมาดวลจุดโทษเอาชนะยูเวนตุสได้ในนัดชิงชนะเลิศ คว้าแชมป์สมัยที่ 6 มาครองได้สำเร็จ, ฤดูกาล 2003-2004 เริ่มต้นด้วยการแพ้ในการดวลจุดโทษต่อยูเวนตุส และโบคา ในอิตาเลียน ซูเปอร์ คัพ และสโมสรโลก ตามลำดับ แต่ก็ยังได้แชมป์ยูโรเปียน ซูเปอร์ คัพ โดยเอาชนะปอร์โต คว้าแชมป์มาครองเป็นสมัยที่ 4 แถมยังคว้าแชมป์กัลโช เซเรีย อา มาครองได้เป็นสมัยที่ 17 ส่วนในโคปปา อิตาเลีย แพ้ลาซีโอ ตกรอบรองชนะเลิศ และในยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายแบบช็อคโลก ในนัดที่ 2 ที่พ่ายต่อกอรุนญา, ฤดูกาล 2004-2005 ได้แชมป์อิตาเลียน ซูเปอร์ คัพ สมัยที่ 5 โดยเอาชนะลาซีโอ ในโคปปา อิตาเลีย ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย เมื่อแพ้ต่ออูดิเนเซ และได้ดับเบิ้ลรองแชมป์ ทั้งในเวทีกัลโช เซเรีย อา และเหตุการณ์ช็อคโลกอีกครั้ง ในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ที่อตาเติร์ก เมื่อ 3 ประตูที่นำอยู่ในครึ่งแรก ไม่สามารถที่จะทำให้มิลานคว้าแชมป์มาครองได้ โดยถูกลิเวอร์พูลยิง 3 ประตูตีเสมอ ด้วยเวลาเพียง 6 นาที และไปดวลจุดโทษเอาชนะมิลานได้ในที่สุด ทำให้มิลานต้องพลาดแชมป์ไปอย่างเจ็บปวด, ฤดูกาล 2005-2006 ได้รองแชมป์กัลโช เซเรีย อา อีกครั้ง (ตอนหลังโดนตัดแต้ม จากกรณีล็อกสเปคผู้ตัดสิน จนต้องหล่นลงมาอยู่อันดับที่ 3) ในโคปปา อิตาเลีย ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยแพ้ให้กับปาแลร์โม ส่วนในยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก พ่ายต่อบาร์เซโลนา ในรอบรองชนะเลิศ, ฤดูกาล 2006-2007 ในกัลโช เซเรีย อา มิลานเริ่มต้นด้วยการถูกตัด 8 คะแนน ซึ่งก็เป็นผลพวงมาจากกรณีล็อกสเปคผู้ตัดสิน แต่ก็ยังไต่ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 4 ได้ ขณะที่ในโคปปา อิตาเลีย แพ้โรมา ตกรอบรองชนะเลิศ ส่วนในยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก มิลานต้องมาเริ่มต้นในรอบคัดเลือก รอบที่สาม และเอาชนะเคอร์เวนา ซเวซดาได้ ทำให้ผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่ม จากนั้นก็ผ่านได้ทั้งเออีเค เอเธนส์อันเดอร์เลชท์ลีลล์เซลติคบาเยิร์น และแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ก่อนที่จะมาล้างแค้น เอาชนะลิเวอร์พูลได้ 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศ คว้าแชมป์สมัยที่ 7 มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยฝีเท้าอันเอกอุของกาก้าและพรรคพวก จากนั้นก็สามารถเอาชนะเซบีญา คว้าแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพสมัยที่ 5 มาครอง และปิดท้ายปี 2007 ด้วยการคว้าแชมป์สโมสรโลก ได้เป็นสมัยที่ 4 โดยแก้แค้นโบคาได้สำเร็จในนัดชิงชนะเลิศ พร้อมกับส่งให้กาก้า คว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี 2007 ในทุกสถาบัน, ฤดูกาล 2007-2008 ในกัลโช เซเรีย อา มิลานได้แค่อันดับที่ 5 ส่วนในโคปปา อิตาเลีย และยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายทั้งสองรายการ โดยแพ้ต่อคาตาเนีย และอาร์เซนอล ตามลำดับ, ฤดูกาล 2008-2009 ในกัลโช เซเรีย อา มิลานได้อันดับที่ 3 ส่วนในโคปปา อิตาเลีย ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยแพ้ต่อลาซีโอ และในยูฟ่า คัพตกรอบ 32 ทีมสุดท้าย ด้วยน้ำมือของเบรเมน, ฤดูกาล 2009-2010 ในกัลโช เซเรีย อา มิลานได้อันดับที่ 3 อีกครั้ง ส่วนในโคปป้า อิตาเลีย ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยพ่ายต่ออูดิเนเซและในยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยถูกแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไล่ถลุงเละเทะ, ฤดูกาล 2010-2011 ในกัลโช เซเรีย อา มิลานคว้าแชมป์สมัยที่ 18 มาครองได้สำเร็จ ส่วนในโคปปา อิตาเลีย ตกรอบรองชนะเลิศ โดยพ่ายต่อปาแลร์โม่ และในยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยแพ้ต่อสเปอร์ส, ฤดูกาล 2011-2012 เริ่มต้นฤดูกาล เอาชนะอินเตอร์ ได้แชมป์ซูเปอร์โคปป้า อิตาเลียน่า มาครองได้เป็นสมัยที่ 6 ในกัลโช เซเรีย อา มิลานได้รองแชมป์ ส่วนในโคปปา อิตาเลีย ตกรอบรองชนะเลิศ โดยพ่ายต่อยูเวนตุส และในยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยแพ้ต่อบาร์เซโลนา




ผลงาน

เฉพาะระดับเมเจอร์
  • แชมป์ 4 สมัย : 1969, 1989, 1990, 2007
  • รองแชมป์ 4 ครั้ง : 1963, 1993, 1994, 2003
  • แชมป์ 7 สมัย : 1962-63, 1968-69, 1988-89, 1989-90, 1993-94, 2002-03, 2006-07
  • รองแชมป์ 4 ครั้ง : 1957-58, 1992-93, 1994-95, 2004-05
  • แชมป์ 2 สมัย : 1967-68, 1972-73
  • รองแชมป์ 1 ครั้ง : 1973-74
  • แชมป์ 5 สมัย : 1989, 1990, 1994, 2003, 2007
  • รองแชมป์ 2 ครั้ง : 1973, 1993
  • แชมป์ 18 สมัย : 1901, 1906, 1907, 1950-51, 1954-55, 1956-57, 1958-59, 1961-62, 1967-68, 1978-79, 1987-88, 1991-92, 1992-93, 1993-94, 1995-96, 1998-99, 2003-04, 2010-11
  • รองแชมป์ 17 ครั้ง : 1902, 1910–11, 1911–12, 1947–48, 1949–50, 1951–52, 1955–56, 1960–61, 1964–65, 1968–69, 1970–71, 1971–72, 1972–73, 1989–90, 1990–91, 2004–05, 2011-12
  • แชมป์ 5 สมัย : 1966-67, 1971-72, 1972-73, 1976-77, 2002-03
  • รองแชมป์ 7 ครั้ง : 1941-42, 1967-68, 1970-71, 1974-75, 1984-85, 1989-90, 1997-98
  • แชมป์ 6 สมัย : 1988, 1992, 1993, 1994, 2004, 2011
  • รองแชมป์ 3 ครั้ง : 1996, 1999, 2003

สรุป : ได้แชมป์ทั้งหมด 47 รายการ รองแชมป์ 38 รายการ (สิ้นสุดฤดูกาล 2011-12)




สถิติ


ชนะในบ้านที่สกอร์มากที่สุด : ชนะ ปาแลร์โม 9-0, 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1951
ชนะนอกบ้านที่สกอร์มากที่สุด : ชนะ เจนัว 8-0, 5 มิถุนายน ค.ศ. 1955
แพ้ในบ้านที่สกอร์มากที่สุด : แพ้ ยูเวนตุส 1-6, 6 เมษายน ค.ศ. 1997
แพ้นอกบ้านที่สกอร์มากที่สุด :แพ้ อเลสซานเดรีย 1-6, 26 มกราคม ค.ศ. 1936

จำนวนคะแนนที่ได้มากที่สุดภายใน 1 ฤดูกาล (ชนะได้ 3 คะแนน)  : 82 คะแนน (2003-04, 34 นัด)
จำนวนคะแนนที่ได้มากที่สุดภายใน 1 ฤดูกาล (ชนะได้ 2 คะแนน)  : 60 คะแนน (1950-51, 38 นัด)
จำนวนคะแนนที่ได้น้อยที่สุดภายใน 1 ฤดูกาล (ชนะได้ 3 คะแนน)  : 43 คะแนน (1996-97, 34 นัด)
จำนวนคะแนนที่ได้น้อยที่สุดภายใน 1 ฤดูกาล (ชนะได้ 2 คะแนน)  : 24 คะแนน (1981-82, 30 นัด)

จำนวนนัดที่ชนะมากที่สุดภายใน 1 ฤดูกาล : 28 นัด (2005-06, 38 นัด)
จำนวนนัดที่ชนะน้อยที่สุดภายใน 1 ฤดูกาล : 5 นัด (1976-77, 30 นัด)
จำนวนนัดที่แพ้น้อยที่สุดภายใน 1 ฤดูกาล : 0 นัด (1991-92, 34 นัด)
จำนวนนัดที่แพ้มากที่สุดภายใน 1 ฤดูกาล : 15 นัด (1930-31, 30 นัด)
จำนวนนัดที่เสมอมากที่สุดภายใน 1 ฤดูกาล : 17 นัด (1976-77, 30 นัด)
จำนวนนัดที่เสมอน้อยที่สุดภายใน 1 ฤดูกาล : 3 นัด (1949-50, 38 นัด)

จำนวนประตูที่ทำได้มากที่สุดภายใน 1 ฤดูกาล (ทีม)  : 118 ประตู (1949-50, 38 นัด)
จำนวนประตูที่ทำได้น้อยที่สุดภายใน 1 ฤดูกาล (ทีม)  : 21 ประตู (1981-82, 30 นัด)
จำนวนประตูที่เสียน้อยที่สุดภายใน 1 ฤดูกาล (ทีม)  : 12 ประตู (1968-69, 30 นัด)
จำนวนประตูที่เสียมากที่สุดภายใน 1 ฤดูกาล (ทีม)  : 62 ประตู (1932-33, 34 นัด)
จำนวนผลต่างประตูที่มากที่สุดภายใน 1 ฤดูกาล : +73 ประตู (1949-50, 38 นัด)
จำนวนผลต่างประตูที่น้อยที่สุดภายใน 1 ฤดูกาล : -10 ประตู (1981-82, 30 นัด)

จำนวนประตูที่ทำได้มากที่สุดภายใน 1 ฤดูกาล (นักเตะ)  : 35 ประตู - สวีเดน กุนนาร์ นอร์ดาห์ล (1949-50, 38 นัด)
ไม่เสียประตูนานที่สุด : 929 นาที (อิตาลี เซบาสเตียโน รอสซี) เริ่มตั้งแต่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1993 (ชนะ กาญารี 2-1), จนถึง 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1994 (ชนะ ฟอจจา 2-1)
ชนะติดต่อกันมากที่สุด : 10 นัด เริ่มตั้งแต่ 28 มกราคม ค.ศ. 1951 (ชนะ ซามพ์โดเรีย 2-0) จนถึง 1 เมษายน ค.ศ. 1951 (แพ้ ปาโดวา 1-2)
ไม่แพ้ติดต่อกันมากที่สุด : 58 นัด เริ่มตั้งแต่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1991 (เสมอ ปาร์มา 0-0) จนถึง 21 มีนาคม ค.ศ. 1993 (แพ้ ปาร์มา 0-1)

การแข่งขันในโคปปา อิตาเลีย[แก้]


ชนะในบ้านที่สกอร์มากที่สุด : ชนะ ปาโดวา 8-1, 13 กันยายน ค.ศ. 1958
ชนะนอกบ้านที่สกอร์มากที่สุด : ชนะ โคโม 5-0, 8 มิถุนายน ค.ศ. 1958
แพ้ในบ้านที่สกอร์มากที่สุด : แพ้ โรมา 0-4, 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1979
แพ้นอกบ้านที่สกอร์มากที่สุด : แพ้ ฟิออเรนตินา 0-5, 13 เมษายน ค.ศ. 1940

การแข่งขันในฟุตบอลสโมสรยุโรป[แก้]


ชนะในบ้านที่สกอร์มากที่สุด : ชนะ ยูเนียน ลักเซมเบิร์ก 8-0, 12 กันยายน ค.ศ. 1962 (ยูโรเปียน คัพ)
ชนะนอกบ้านที่สกอร์มากที่สุด : ชนะ ยูเนียน ลักเซมเบิร์ก 6-0, 19 กันยายน ค.ศ. 1962 (ยูโรเปียน คัพ)
แพ้ในบ้านที่สกอร์มากที่สุด : แพ้ บาร์เซโลนา 0-2, 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1959 (ยูโรเปียน คัพ)
แพ้นอกบ้านที่สกอร์มากที่สุด : แพ้ อาแจ็กซ์ 0-6, 16 มกราคม ค.ศ. 1974 (ยูโรเปียน ซูเปอร์ คัพ)





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น